ตอนที่ 20 รีวิวทริป บราซิล ตอนจบ
“ เรา จะรอ คนที่ 3 มาสมทบนะ ไม่ว่าจะ กี่นาที 15 นาที หรือ 20 นาที เรา ก็จะรอ ถ้าจะต้องรอ ทั้งวัน เราก็จะทำ..” เราบอกพนักงาน
หลังนั่งรอ อยู่ ที่ร้านอาหาร ราว หนึ่ง ชั่วโมง ฟ้า ก็ เป็นใจ .. “ มีผู้ชายชาวบราซิล คนนึง ต้องการ ขึ้น แพคเกจ 15 นาที” ในที่สุด ความฝัน ของเรา ก็เป็นจริง..
ฉัน เตรียมเลนส์ มาสอง ตัว.. พร้อมกล้องคู่ชีพ .. ตอนที่เครื่องบินลงมารับ ฉันพยายามแย่งชิง ที่นั่งด้านหน้า ข้าง คนขับ แต่ ผู้ชายชาวบราซิล ช่าง เป็นสุภาพบุรุษ เรา เลยได้ที่นั่ง ด้านหลัง ไป
ตอนที่เครื่อง เริ่มบินขึ้น ฉัน รัวชัตเตอร์ กล้องถ่ายรูป แบบลืมตาย.. รู้แค่ เวลาบนเครื่อง15 นาที ผ่านไป เร็ว จนเหมือนแค่เสี้ยวนาที เมืองริโอ เดจาเนโร ที่เขาว่า เป็นเมือง ที่สวย ติดอันดับโลก มันเป็นแบบนี้นี่เอง สวยตรงไหน สวยยังไง ได้ซาบซึ้ง ยามมองลงมา จาก เบื้องบน..
ผังเมือง ที่แสน เป็นระเบียบ ภูเขา ที่ตัดกับท้องน้ำ ชายหาด ที่ทอดยาว สีขาวสะอาดตา. คลาคล่ำ ไป ด้วยผู้คน ที่เหลือตัวเล็ก ราวกับมด
เครื่องบินเฉียด เข้าไป ให้เห็น Christ The Redeemer เพียงชั่วเสี้ยว นาที พระเยซู สีขาว สูงใหญ่ ตั้งตระหง่าน อยู่บนยอดเขา กางสองแขน เพื่อ โปรด ชาวโลก.. ตัดกับ เทือกเขาสีเขียว สวยงามจับใจ ฉันกด ภาพ พระเยซูมาได้ไม่มาก หวังว่าเขาจะวนกลับไปอีก แต่ของดี มีได้แค่แปปเดียว เสี้ยงวินาทีจริงๆ
เป็น 15 นาที ในชีวิต ที่ฉัน ไม่มีวันลืม..
ตอนอยู่บนเครื่อง ไม่รู้สึกอะไร แต่พอลงนี่สิ .. เดินเซแถ่ดๆ เมาค่ะ.. ใครที่ไม่มั่นใจ กินยาแก้เมารถก่อน จะดีกว่า ..
ขากลับ เราส่งรูป โบสถ์ ให้คนขับแทกซี่ ให้พาเรากลับ พร้อมบอกชื่อโฮสเทล
.. แทกซี่ พยักหน้า ว่ารู้จัก แล้วพาเรา ไป โบสถ์ แล้วโบสถ์ เล่า.. แต่ มันไม่ใช่โบสถ์ ในรูป พอไม่ใช่โบสถ์ในรูป แทกซี่ก็เริ่มหงุดหงิด แทนที่จะเป็นเราที่หงุดหงิด
สุดท้าย เราให้แทกซี่ส่งเรา ที่ย่าน Centro แล้วหา ทาง ยิง GPS หาทางเดินกลับ โฮสเทลเอง ..
ปัญหาของการเดินกลับคือ เรามีกล้อง และเลนส์ สองเลนส์ ซึ่ง รวมกันแล้ว หนัก ราว 12 กิโลกรัม และราคา รวมกันแล้ว ราว สองแสน บาท อยู่บนหลัง.
วันนั้น ตอนเช้า เราพยายามแต่งตัว ให้กลมกลืน กับคนบราซิล จนๆคือ ใส่เสื้อ เก่าย้วยๆ เปลือยไหล่ และกางเกงยีนส์ สั้นกุด จนเกือบเห็นแก้มก้น รองเท้าแตะ. ให้มันดู เหมือน ผู้หญิงอย่างว่า จะดีกว่าให้เขา สงสัย ว่าเป็น นักท่องเที่ยว
เรา พยายามเดินหาทาง กลับ แต่ทำเหมือน ไม่ได้หลงทาง เหมือนกินลมชมวิว อาศัยอยู่แถวนี้ บ้านอยู่แถวนี้ อยู่ที่นี่มานานหลายปีแล้ว
น้องสาวเรา มา์รคจุดที่พักไว้ เปิดดูในมือถือ ที่ไม่มีอินเตอร์เนต พอจะรู้ว่า เราต้องเดินไปทางไหน แต่ทางที่ดี ได้ เปิดเนตน่าจะดีกว่า เราพยายามหาร้าน อาหารที่มีอินเตอร์เนต เผื่อว่า ติดต่อแมนได้ แมนอาจจะออกมารับ..
เราเจอร้าน ขาหมูทอดบราซิล ร้านนึง ขาหมูทอดบราซิล หน้าตาเหมือนขาหมูเยอรมัน แต่ เค็มกว่า เราแวะกินขาหมู พร้อม ใช้อินเตอร์เนต ติดต่อกับแมน ..
ไม่มีสัญญานตอบรับจากแมน เงียบหาย เหมือนตายจาก
ขาหมู ชิ้นใหญ่มาก เกินกำลังผู้หญิงสองคนจะกินหมด เราเลย ให้เขาห่อกลับบ้าน กะว่าจะเอาไปกินอีกมื้อตอนเย็น
หลังตรวจสอบ ตำแหน่งที่อยู่จากอินเตอร์เนตเพื่อความแน่ใจ พบว่า เราเดินมาร่วม ห้ากิโลเมตร เหลืออีกราวสามกิโลเมตร จะถึงที่พัก ..
ความน่ากลัวคือจุดเปลี่ยวใต้สะพานแค่จุดเดียว เราจะถึงที่หมาย.. ฉันพยายามเดินปนวิ่งเดินเหมือนออกกำลังกาย ไม่ได้หลงทาง ไม่ใช่นักท่องเที่ยว พักอยู่แถวนี้
เรากลับมาถึงที่พัก ได้อย่างปลอดภัย ที่พักของเรา อยู่ในย่านซานต้า เทเรซ่า ไม่ไกลจาก บ้านคุณ Wednesley ที่เราพักในตอนแรก เพียงแต่ อยู่ในย่านสลัม..
ตอนกลับมาถึง Hostel ประตูปิดอยู่ กุญแจที่ได้ไป ก็ดูเหมือนจะไม่ทำงาน ไขยังไง ก็ไม่ออก .. ฉันพยายาม ทั้งทุบ ทั้งถอง ทั้งร้องเรียกให้คนข้างในมาเปิด ไม่มีสัญญานตอบรับใดๆ
ด้วยความ่ที่เหนื่อยมาทั้งวัน เพราะตื่นเช้า แบกของหนักร่วมสิบกิโล อยู่บนหลัง เดิน ร่วมสิบกิโลเมตร อุณหภูมิร้อนจัด 40 องศา เซลเซียส มาทั้งวัน ฉัน ค่อยๆลงนั่งบนพื้น.. มองไปนอกรั้วเตี้ยๆ ที่มีประตู ที่เตี้ยกว่ากั้นอยู่ เปลี่ยวร้าง และ เงียบสงัด ..
หลังนั่ง อยู่พักใหญ่ ฉันเริ่มเอากุญแจออกมาไขงัดประตูอีกครั้ง อีกครั้ง และอีกครั้ง .. ประตูเปิดออก .. ผู้หญิงผมสั้น ออกมาเปิดประตูให้ ทำหน้าสงสัย แต่ไม่พูดอะไร ..
ฉัน เปิดประตู เข้าไป ในห้องที่แมนพัก ไฟปิดมืด ..กระเป๋าสัมภาระของน้องสาวฉัน ที่หายไป วางอยู่บนพื้น ทางสายการบิน ให้คนเอามาส่งให้เรียบร้อย ..
แมนนั่งอยูบนเตียงชั้นสอง ในความมืด มีแต่ไฟจากคอมพิวเตอร์ โน็ตบุค ที่ส่องสว่างอยู่… พอให้เห็นหน้าแมน อยู่รำไร
“แมน.. ทำไม ไม่เปิดประตูวะ ชั้นทั้งทุบทั้งตะโกน… แล้วเล่นคอมพิวเตอร์ อยู่ ทำไมไม่อ่านข้อความ ที่บอกให้ออกไปรับ”.. แมนเงียบ…
“ แมน แล้วของที่มาส่ง ใบเซนต์รับของมีไหน จะเอาไว้เคลมประกัน” น้องสาวฉันถาม
“ไม่มี แมนให้เค้าไปหมดแล้ว” แมนตีหน้าซื่อ
“แล้วทำไมไม่ถ่ายรูปเอาไว้ หรือ ถ่ายเอกสาร หรืออะไร ก็ได้ มันเป็นเอกสารต้องเอาไป เคลมประกันอ่ะ”
“ ก็ถ้าไม่ให้ เค้าก็ไม่ให้กระเป๋านิ” แมนเถียง
ตอนนั้นคือ ฉันอยากเอากรรไกร มากล้อนผมเดรดลอค ของแมน ออกให้หมด ทั้งหัว..
“แมนจะไป สนามบินให้ก็ได้ นั่งรถแทกซี่ไป สนามบินติดต่อให้ก็ได้ ตอนนี้ ถึงมันจะไกล แมนก็จะไป” ฮีบอก ฉันได้ แต่ส่ายหัว..
ฉันลองติดต่อขอเอกสารเคลมประกันไปที่ สายการบิน. หลายต่อหลายครั้ง สายการบิน ปฏิเสะการออกเอกสารให้ .. เงียบเฉย จนถึงวันนี้ … ไม่ได้เคลมประกัน เลย แม้แต่บาทเดียว เพราะไม่มีเอกสาร ..
“กินอะไรรึยัง แมน..” ฉันกัดฟันถาม ทั้งๆที่โมโห สุดๆ
“ไม่ได้กินอะไรเลยทั้งวัน รอเธอสองคนกลับมา” แมนตอบ พร้อมทำหน้าเศร้า
“แล้วทำไมไม่ออกไป หาอะไรกิน ถ้าเราไม่กลับมา ก็จะอดตายอยู่ในนี้เร้อ เมื่อวานก็ไม่ได้กินข้าวเย็น ” แมนส่ายหัว ทำท่า เหมือนคนบริสุทธิ์ ไร้เดียงสา เหลือเกิน
ฉันเดินไปแกะ ขาหมูทอด แมนเดินตามมา ฉันแบ่งให้แมน… แมนกิน อย่างคนหิวโซ … ฉันเริ่มท้อใจ…
พรุ่งนี้ เราจะเดินทางออกจาก ริโอเดจาเนโร..บินไป เปรู ส่วนแมน บินไป เมือง Sao Paulo เราจะแยกจากกันที่นี่ และออกจากบราซิล.. ฉันไม่คิด ว่าจะได้ร่วมเดินทางกับแมนอีก .. มันคงเป็นครั้งที่สาม ที่เป็นครั้งสุดท้าย แต่ก่อน แมน ไม่ได้เป็นคนแบบนี้ หรือจะมีปัญหา บุคลิกภาพถดถอย..
คืนนั้น ฉันเข้านอน ตอนสี่ทุ่ม.. ต้องตื่นราวตีสอง เพื่อ เดินทางไป ขึ้นเครื่อง . ฉันตั้งนาฬิกาปลุกไว้ แต่บอกแมนกับน้องสาว ใครตื่นก่อน ให้มาปลุกด้วย เพื่อนร่วมโฮลเทล ชาวฝรั่งเศส เป็นคน โทรนัดแทกซี่ให้ .. แมนซึ่ง เป็นคนบราซิล ไม่ทำอะไรเลย..
ตีหนึ่งห้าสิบ ฉันสะดุ้งสุดตัว เมื่อ มีมือคน เอื้อมมาแตะ ตัวฉัน .. ฉันผุดลุกขึ้น .. แล้วพุ่งตัว ร่วงลงมาจากเตียงชั้นสอง ดังโครม ..
ทุกคนในห้องผุดลุกขึ้น ชายหน้าโหด ที่อยู่บนเตียงล่าง พุ่งตัวมาหาฉัน ฉันเอี้ยวตัวหลบ ยกมือขึ้นขอโทษ .. โดนตบแน่ๆ ที่ทำพี่แกตื่นกลางดึก ..
พี่แก พุ่งมาเขย่าตัวฉัน เป็นยังไงบ้าง เจ็บไหม..
แมน ผู้ปลุกฉัน ตกใจรีบประคองฉันขึ้น ฉัน บอกว่าไม่เป็นไร …คนในห้องที่เหลือ เริ่มหัวเราะ..
ฉันเก็บกระเป๋า ขนของออกไปไว้ที่หน้าประตู รอรถแทกซี่มารับ. รถแทกซี่มาตรงต่อเวลา ราวตีสองครึ่ง ปัญหาคือ เราต้องเดินผ่านสลัม ประตูลูกกรงสองชั้น ด้วยสัมภาระ เต็มสองแขน เวลากลางดึก เพื่อไปขึ้นรถ ..
แมนขนของ เดินนำ ขึ้นไปก่อน .. น้องสาวฉันเดินตาม ฉันเดินรั้งท้าย คืนกุญแจให้ คนในโฮลเทลเอาไว้
ผ่านประตูเหล็กประตูแรก น้องสาวฉันกระแทกประตูปิด.”ปัง” . ฉัน ถูกขังเอาไว้ด้านหลังคนเดียว.. ฉันกรีดร้อง “ เธอ กระแทกประตูทำไม มันปิดอัตโนมัติ ฉันจะทำยังไง ถ้ามีโจรหรือใครมา คือ จะทำยังไง”
น้องสาวฉันหันหลังมา ทำอะไรไม่ถูก …
ฉันขนของที่แสนหนักอึ้ง กลั้นใจเดินกลับไปที่โฮลเทล ซึ่งอยู่ไกลพอสมควร ในความมืดและเปลี่ยว เพียง คนเดียว อารมณ์เดือดปุด โมโหสุดขีด
กลั้นใจเคาะประตูโฮสเทล โชคดีที่ เพื่อนชาวฝรั่งเศสตื่นนอน ตอนที่ฉัน.ร่วงตกเตียง นอนไม่หล้บ เลยเดินกลับมา ไขประตูให้..
รถแทกซี่ พาเราไปส่งที่สนามบิน ใช้เวลาเดินทาง ราว 45 นาที ที่สนามบิน .. แมนจูบลา.. ด้วยความเศร้า.. แต่ฉัน รู้สึกโล่งใจ..
เครื่องบิน บินขึ้นสู่ท้องฟ้า อีกแค่ไม่กี่ชั่วโมง ฉันก็ จะอยู่ที่ เปรู ซึ่งเป็นการเดินทางครั้งที่สองของฉัน กลับไปที่นั่น อีกครั้ง มาชูพิกชู เมืองโบราณ ที่สาบสูญ ที่งดงาม จนติด อันดับ 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ ของโลก
ฉันไม่ได้ แค่จะไปมาชูพิกชู แต่ สิ่งท้าทาย คือ ฉันวางแผน จะเดินเข้า มาชูพิกชู ผ่านทาง Inca Trail ทางเดินหินแกรนิต อันงดงาม และเต็มไปด้วย อารยธรรม แห่งประวัติศาสตร์ ของชาวอินคา. ด้วยระยะทางร่วม50 กิโลเมตร กับความสูง สามพัน กว่าเมตร จากระดับน้ำทะเล กับความงาม ที่ขึ้นชื่อว่า เป็นเส้นทางเดินเขา ที่งามติดอันดับ 1 ใน 10 ของโลก ..กับรีวิวทริป ฉบับใหม่ .. เส้นทางแห่งอารยธรรม อินคา.. เปรู
อ่านแล้วเหมือนได้ไปด้วย
ถูกใจถูกใจ