ตอนที่ 9 พระเอกนักบอล.
ทำอะไรซักอย่างสิแมน… เราเริ่มหงุดหงิด ตอนที่เห็นแมน เดินหมุนไปหมุนมาอย่างคนทำอะไรไม่ถูก .. เราเลยตัดสินใจเดินไป ทางที่มีสะพานลอย คิด ว่าจะทำยังไง …เล่นกายกรรม ปีนสะพานลอยรึ หรือ จะแกล้งเป็นลมแล้ว ร้องให้คนช่วย
เราเดินไปหยุดที่เกาะกลางถนนใต้สะพานลอย .. ขณะที่กำลังยืนอยู่ อย่างหมดหวังนั่นเอง………..ลูกบอล ลูกนึง ปลิว กระดอน จากสนามซ้อม กลิ้งข้ามถนน มาใกล้จุดที่ น้องสาวฉันยืนอยู่ ….
หนุ่มน้อย นักฟุตบอล วิ่งตามบอลมาติดๆ วิ่งตัดถนนที่มีรถราขวักไขว่ อย่างชำนิชำนาญ ลีลาการข้ามถนนยังกับลีลาเลี้ยงบอลในสนามแข่ง ฉันกับน้องเริ่มตะโกน .. Help ! ช่วยด้วย…
หนุ่มน้อย นักฟุตบอล รูปหล่อ วิ่งตรงมาเก็บลูกบอล ที่อยู่ตรงหน้าน้องฉัน พยักหน้าให้พวกฉัน อย่างเข้าใจกันว่า “ตามมา” พร้อมจับแขนน้องฉัน แล้วโอบไหล่ พาวิ่ง ฉันวิ่งตามไปด้านหลังติดๆ แมนตามมา .. เค้าโบกรถ วิ่งข้ามอย่างว่องไวในอย่างมี จังหวะ รถที่ขับมาชะลอ หลบ …
พวกเราข้ามถนนกลับไป ยัง จุดที่เราข้ามมา ได้อย่างปลอดภัย….
พวกเราขอบคุณเขา หนุ่มนักฟุตบอลไม่พูดอะไร แค่พยักหน้า ยิ้มนิดๆ แล้ววิ่งจากไป… พระเอกมาก…
ตอนนั้นคือ ไม่รู้ทำไม เราถึงไว้ใจเขา แต่ลักษณะ ท่าทางการเป็นผู้นำ ลักษณะ ผึ่งผายมั่นใจ คล่องตัว ทำให้เรา มั่นใจว่า เค้าจะพาเราข้ามถนนไป ได้โดยปลอดภัย .. ต่างจากท่าทาง งกๆเงิ่นๆของแมน .. แบบนั้น รู้สึกว่า พากูไปตายชัวร์..
ไม่มีความผิดพลาดซ้ำสอง เราเดินขึ้นสะพานลอย ข้ามไป อีกฝั่งยังชายหาด..
หาด Flamengo มาจากคำว่า Flemish ซึ่งชาวโปรตุเกส ใช้เรียก ชาว Dutch ซึ่ง ครั้งหนึ่ง ชาว Dutch ชื่อ Olivier van Noort เคยพยายามเข้ามาโจมตี เมืองริโอ เดจาเนโร ผ่านทาง ชายหาดนี้.. หาดนี้เลยได้ชื่อว่า หาดของชาว Flemish หาดนี่อยู่ตรงมุม Guanabara Bay
ตอนที่ไปถึงเริ่มเป็นช่วงเย็น ผู้คนบางตา ท้องฟ้าครึ้มฝน.. มีรถตำรวจสองคนคอยขับลาดตระเวณ ไปมา เราแอบไปนั่งตรงชายหาด เหมือนนั่งชมวิว แอบล้วงกล้องออกมา ถ่ายๆๆ แล้วรีบเก็บ ตามระเบียบ .. หาดนี้ คงสวยมาก ถ้าเป็นวันแดดแรง.. ตรงถนน หน้าหาด มีผู้คนมาออกกำลังกาย กัน ทั้งวิ่ง ขี่จักรยาน กับเล่น สเก็ตบอร์ด สิ่งที่เราเห็นความงามของหาดนี้คือ หนุ่มบราซิลที่มาเล่นสเก็ตบอร์ดที่นี่ แซ่บมาก หล่อคม เข้ม กล้ามเป็นมัดเป็นลอน ..เรียกว่ามองจนเหลียวหลัง เลยทีเดียว
อาหารมื้อค่ำ เราปรึกษากันว่า อยากให้เป็นมื้อพิเศษเพราะ พิซซ่าที่บราซิล ขึ้นชื่อว่า อร่อยมาก .. เราหาร้านพิซซ่าชื่อดัง เป็นร้านอันดับต้นๆ ชื่อ ร้าน Mamma Jamma Pizzeria เป็นร้านที่อยู่ ถนน Saturnino ตัดกับBrito ..ตรงหน้าร้าน มองขึ้นไป บนท้องฟ้า จะสามารถ เห็น Christ the Redeemer ได้ ค่อนข้างชัดเจน ถ้าท้องฟ้าเปิด โดยเฉพาะ ตอนกลางคืน จะมองเห็นพระเยซู เรืองแสงอยู่ในความมืด สวยงามมาก ..
ตอนไปที่ร้าน ร้านยังไม่เปิด เพราะ เปิดตอน6 โมงเย็น เราไปนั่งรอ กันอยู่หน้าร้านตั้งแต่ห้าโมงเย็น นั่งอ่ะนั่งได้ แต่มีปัญหา คือ ยุงเยอะสุดๆ ..นั่งไปก็หวาดเสียวทรัพย์สินไป เพราะ ดู เหมือนเป็นมุมอับ. ซักพัก เริ่มมีคนมา รอคิวเข้าไปในร้านเหมือนๆ กับเรา ร้านนี้ เขา ฮอท จริงๆ
ช่วงรอ เราออกไป เดินดู บริเวณรายรอบ พบว่า เดินไป ด้านหน้าอีกนิด บริเวณนี้จะมี อ่าว Bay มีเรือจอดเทียบท่า มีตำรวจประจำเป็นจุดๆ ให้พออุ่นใจ บริเวณนี้ไม่ไกล จาก สวน พฤกษศาสตร์ ชื่อดังของ ริโอ เดจาเนโร ถ้ามีเวลา เราก็ อยากจะมีโอกาสเข้าไป เที่ยวชม.
หลังการอคอยอันยาวนาน เราได้ เข้าไปในร้านพิซซ่า ซึ่ง ข้างในใหญ่โต หรูหรา นี่มันร้านราคา กระเป๋าฉีกชัดๆ แต่ด้วยความที่มาแล้ว ก็ คงต้องกัดฟันลอง เราสั่ง ขนมปังใส้กรอก มาเป็นออเดิร์ฟ สั่งพิซซ่า แบบ ถาดใหญ่ถาดเดียว แต่มี สามหน้า และไส้กรอก ล้วนๆ มาอีกหนึ่งจาน.. แมนซึ่งทริปนี้ เรา พามาให้กินฟรี อยู่ฟรี เที่ยวฟรี เพราะ ถือว่า ต้องลางานมาช่วยนำเราเที่ยว อ้อมแอ้ม ถามเราเสียงอ่อยๆว่า.. แมนขอสั่งเบียร์ได้ไหม.. เราพยักหน้าบอกว่า ได้ แต่เเค่ขวดเดียวนะ..
รสชาติอาหาร ไส้กรอก อร่อยมาก อร่อยจริงๆ ถือว่าคุ้มค่าเป็นบุญปากที่ได้สั่งมา ส่วนพิซซ่าอร่อยมาก แต่เราต้องการ ซอสมะเขือเทศ .หรือไม่ก็ ซอสพริกเผ็ด ทาบัสโก้ .. เราเรียกพนักงานมาถามหา Ketchop สิ่งที่ได้รับคือ สีหน้าแสดงความไม่พอใจ ปฏิเสธแบบไม่มีเยื่อใยว่า ไม่มี … เราเข้าใจนะ ว่าร้านหรูบางร้าน มันจะถือว่าเป็นการดูถูก ความสามารถของพ่อครัวมาก ถ้าคุณเติมอะไรลงไปในส่วนผสมอาหาร .. แต่ทำไมล่ะ เราจ่ายเงินอ่ะ ถึงคนทุกคนในโลกนี้บอกว่าอร่อย ถ้าลิ้นเราไม่รับ เราก็จะปรุงเพิ่ม.. เราหันไปบอกแมนว่า .. ไปซื้อ ซอสมะเขือเทศที่ร้านขายของชำให้ที… หรือไม่ก็ ทาบัสโก้ หรือ Pepper sauce อ่ะ แมนย้อนกลับมา ว่า ทาบัสโก้ คืออะไร pepper sauce คืออะไร .. เราเลยบอกว่า Ketchop ก็พอ เหอะ ..(ว่ะ)
แมนหายไปนานชาตินึง ยังกะไปกวนซอส กลับมาพร้อมซอสมะเขือเทศหน้าตาและรสชาติน่าเกลียดมากที่สุด เท่าที่เกิดมาเราเคยพบ สีซอส เป็นสีชมพู ซีดจาง รสชาติ แปร่งๆ ประหลาด .. ค้นดูก้นขวด ว่าหมดอายุหรือเปล่า ก็พบว่า ยังกินได้
แมนลงนั่ง แล้วกินอาหารมื้อนั้นอย่างเอร็ดอร่อย ไม่แตะต้อง Ketchop ขวดนั้นเลย .. มันตั้งใจรึเปล่าวะ..
อาหารค่ำมื้อนั้น แพงจนเรามือไม้อ่อน อาจไหว้คนได้ทั้งซอย คิดเป็นเงินไทย ราวสามพันห้าร้อยบาท.. อาหารแค่สามจาน..
ขากลับ มืดอีกเช่นเคย เรานั่งรถ เมล์ กลับทางเดิม น้องสาวเรา เริ่มไม่ไว้ใจแมน นาง ใช้โทรศัพท์ มือ ถือ ทำเครื่องหมาย ตรงจุดที่ เป็นที่พักเราเอาไว้ .. ขณะที่กำลังนั่งอยู่ในรถเมล์ เพลินๆ น้องสาวเรา เข้ามาสะกิด .. “ เธอ ลงได้แล้ว แมนมันไม่รู้ จุดที่เราจะลง นี่มันเลย ป้ายแล้วนะ” เราผุดลุกขึ้นยืน อย่างกับโดนเข็มทิ่ม
“หา เอาอีกแล้วเหรอ งั้นก็ลงสิ” เรา เดินไปสะกิด แมน แล้วก็ พากันลง.. ปัญหาคือตรงจุดที่เราลง มันคือที่ไหนกันล่ะ……