แบกเป้ บราซิล เปรู เอกวาดอร์ 66วัน ที่เปลี่ยนชีวิตฉัน ไปตลอดกาล ตอนที่ 4 Christ The Redeemer รูปปั้นพระเยซูยักษ์ บนยอดเขา สุดยอดสิ่งมหัศจรรย์ ของโลก
Christ The Redeemer หรือ ที่ชาวบราซิล เรียกกัน ในภาษาโปรตุเกสว่า Chrito Redemtor คือรูปปั้น พระเยซู ยืนกางสองแขน ตั้งตระหง่านอยู่บนยอดเขา ซึ่งได้รับการโหวต ให้เป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่ เป็นสัญลักษณ์ที่ ถ้าใครพูดถึง ริโอ เดจาเนโร ไม่มีใครที่จะไม่นึกถึง รูปปั้นนี้
รูปปั้นนี้ ท่านได้ แต่ใดมา..
ปี 1850 บาทหลวง คาทอลิก ชื่อ Pedro Maria Boss ได้นำเสนอ ความคิดที่จะสร้าง อนุสาวรีย์ ทางศาสนาที่มีขนาดใหญ่ยักษ์ให้โลกตะลึง. ความคิดนี้ถูกนำเสนอ ให้กับทางรัฐบาล แต่งบประมาณ ไม่ได้รับการอนุมัติ เนื่องจาก เจ้าหญิง Isabel ซึ่งเป็นผู้ปกครองบราซิลในสมัยนั้น ไม่เห็นพ้องด้วย
72 ปีให้หลัง มีการรวมกลุ่มของชาวคริสเตียน ชื่อ The Catholic Cycle of Rio ไอเดียการก่อสร้างนี้ ได้ถูกนำมา. รื้อฟื้นขึ้นอีกครั้ง หลังรวบรวมเงินบริจาค จากชาวคริสเตียน ผู้เลื่อมใสในศาสนา การก่อสร้างรูปปั้นพระเยซู ที่ใหญ่โต และงดงามระดับโลก จึงได้เริ่มขึ้น โดยการก่อสร้าง ใช้เวลาถึง 9 ปี กว่าจะสำเร็จ โดยวัสดุที่ใช้ก่อสร้าง เป็นหินสบู่ ที่นำเข้ามาจากประเทศสวีเดน นำมายึดเชื่อมกันด้วยคอนกรีต การสร้าง สร้างเป็นชิ้นส่วน แล้วลำเลียงขึ้นไปประกอบกัน บนยอดเขา. เบ็ดเสร็จ ค่าใช้จ่าย ในตอนนั้น รวม 250,000 USD. หรือเทียบเป็นเงินในสมัยนี้ ราว3 ล้านกว่า USD หรือ ราวหนึ่งร้อยล้านบาทไทย
รูปปั้นที่สร้างขึ้น ถือว่าเป็นรูปปั้น พระเยซูที่ มีขนาดใหญ่ เป็นอันดับ5 ของโลก แต่ถือได้ว่า เป็นอนุสาวรีย์ ที่งดงามและมีความสร้างสรรค์ทางศิลปะ ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก. รูปปั้นนี้ อยู่บนยอดเขาCorcovado ซึ่งอยู่ในอุทยานแห่งชาติTijuca รูปปั้นนี้ หันหน้าไปทางทิศตะวันตก มือขวา ชี้ไปทางทิศเหนือ ของริโอเดจาเนโร
มือซ้าย ชี้ไปทางทิศใต้ มองเห็นได้จากทั่วทุกทิศ ของเมืองริโอ เสมือนเตือนให้ คริสตศาสนิกชน ได้ ระลึกว่า พระเยซู ทรงมอบความรัก และดึงดูดให้ทุกคน ได้เข้าสู่อ้อมอกของพระองค์
Christ The Redeemer ได้รับการคัดเลือก ให้เป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก ใน ปี 2007
การเข้าชม Christ The Redeemer ทำได้ หลาย วิธีคือ นั่งรถไฟขึ้นไปจนถึงบริเวณ ฐาน ของ รูปปั้น หรือ สามารถ ใช้บริการรถตู้ ขึ้นไปยังจุดชมวิว หรือ อาจขึ้นไปชมวิว ระยะไกล โดยการขึ้นกระเช้าไฟฟ้า ไปยังยอดเขา Sugar Lobe และวิธีสุดคลาสสิค อีกวิธีหนึ่งก็คือ. เช่าเฮลิคอปเตอร์ บินวน รอบเพื่อชมทิวทัศน์จากด้านบน.
เรานั่งเครื่องบินในประเทศ จาก เมือง Sao Paulo ไปยังRio De Janeiro ใช้เวลาบิน แค่เกือบ ชั่วโมง ก็ถึง มีเวลา 3 วัน ที่จะ เที่ยวในเมือง และ เป้าหมายที่สำคัญ เรามาเพื่อ เฮลิคอปเตอร์ทริป ที่ ครั้งที่แล้ว เราพลาดไปเพราะฝนตกหนัก รอบนี้ เรามาเพื่อแก้มือ ต้อง บินวนรอบและถ่ายรูป รูปปั้น นี้ให้ได้ กล้องพร้อม คนพร้อมแต่อากาศจะเป็นใจรึเปล่า คงจะได้รู้กัน.
รูปปั้นนี้ ท่านได้ แต่ใดมา..
ปี 1850 บาทหลวง คาทอลิก ชื่อ Pedro Maria Boss ได้นำเสนอ ความคิดที่จะสร้าง อนุสาวรีย์ ทางศาสนาที่มีขนาดใหญ่ยักษ์ให้โลกตะลึง. ความคิดนี้ถูกนำเสนอ ให้กับทางรัฐบาล แต่งบประมาณ ไม่ได้รับการอนุมัติ เนื่องจาก เจ้าหญิง Isabel ซึ่งเป็นผู้ปกครองบราซิลในสมัยนั้น ไม่เห็นพ้องด้วย
72 ปีให้หลัง มีการรวมกลุ่มของชาวคริสเตียน ชื่อ The Catholic Cycle of Rio ไอเดียการก่อสร้างนี้ ได้ถูกนำมา. รื้อฟื้นขึ้นอีกครั้ง หลังรวบรวมเงินบริจาค จากชาวคริสเตียน ผู้เลื่อมใสในศาสนา การก่อสร้างรูปปั้นพระเยซู ที่ใหญ่โต และงดงามระดับโลก จึงได้เริ่มขึ้น โดยการก่อสร้าง ใช้เวลาถึง 9 ปี กว่าจะสำเร็จ โดยวัสดุที่ใช้ก่อสร้าง เป็นหินสบู่ ที่นำเข้ามาจากประเทศสวีเดน นำมายึดเชื่อมกันด้วยคอนกรีต การสร้าง สร้างเป็นชิ้นส่วน แล้วลำเลียงขึ้นไปประกอบกัน บนยอดเขา. เบ็ดเสร็จ ค่าใช้จ่าย ในตอนนั้น รวม 250,000 USD. หรือเทียบเป็นเงินในสมัยนี้ ราว3 ล้านกว่า USD หรือ ราวหนึ่งร้อยล้านบาทไทย
รูปปั้นที่สร้างขึ้น ถือว่าเป็นรูปปั้น พระเยซูที่ มีขนาดใหญ่ เป็นอันดับ5 ของโลก แต่ถือได้ว่า เป็นอนุสาวรีย์ ที่งดงามและมีความสร้างสรรค์ทางศิลปะ ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก. รูปปั้นนี้ อยู่บนยอดเขาCorcovado ซึ่งอยู่ในอุทยานแห่งชาติTijuca รูปปั้นนี้ หันหน้าไปทางทิศตะวันตก มือขวา ชี้ไปทางทิศเหนือ ของริโอเดจาเนโร
มือซ้าย ชี้ไปทางทิศใต้ มองเห็นได้จากทั่วทุกทิศ ของเมืองริโอ เสมือนเตือนให้ คริสตศาสนิกชน ได้ ระลึกว่า พระเยซู ทรงมอบความรัก และดึงดูดให้ทุกคน ได้เข้าสู่อ้อมอกของพระองค์
Christ The Redeemer ได้รับการคัดเลือก ให้เป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก ใน ปี 2007
การเข้าชม Christ The Redeemer ทำได้ หลาย วิธีคือ นั่งรถไฟขึ้นไปจนถึงบริเวณ ฐาน ของ รูปปั้น หรือ สามารถ ใช้บริการรถตู้ ขึ้นไปยังจุดชมวิว หรือ อาจขึ้นไปชมวิว ระยะไกล โดยการขึ้นกระเช้าไฟฟ้า ไปยังยอดเขา Sugar Lobe และวิธีสุดคลาสสิค อีกวิธีหนึ่งก็คือ. เช่าเฮลิคอปเตอร์ บินวน รอบเพื่อชมทิวทัศน์จากด้านบน.
เรานั่งเครื่องบินในประเทศ จาก เมือง Sao Paulo ไปยังRio De Janeiro ใช้เวลาบิน แค่เกือบ ชั่วโมง ก็ถึง มีเวลา 3 วัน ที่จะ เที่ยวในเมือง และ เป้าหมายที่สำคัญ เรามาเพื่อ เฮลิคอปเตอร์ทริป ที่ ครั้งที่แล้ว เราพลาดไปเพราะฝนตกหนัก รอบนี้ เรามาเพื่อแก้มือ ต้อง บินวนรอบและถ่ายรูป รูปปั้น นี้ให้ได้ กล้องพร้อม คนพร้อมแต่อากาศจะเป็นใจรึเปล่า คงจะได้รู้กัน.